สมัยก่อนถ้าพูดถึงคำว่าผ่าตัดนี่สยองมากกก นึกถึงเลือด นึกถึงมีด นึกว่าแผล น่ากลัวสุดๆ แถมยังต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน กับการเสียค่าใช้จ่ายที่สูง แต่ข่าวดี! ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ไทยที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ได้พัฒนามาสู่การส่องกล้องผ่าตัดมดลูกแบบแผลเดียวแล้วค่ะ
จุดเด่นของ “การผ่าตัดมดลูกแบบซ่อนแผล”คือ “แผลเดียว” ที่บริเวณสะดือ ทำให้เราแทบมองไม่เห็นแผลเพราะมีขนาด1.2 – 1.5 เซนติเมตร และซ่อนอยู่ในสะดือ ที่สำคัญยังสามารถเรียกความมั่นใจของคนไข้ผู้หญิง จากความวิตกกังวลของแผลหลังการผ่าตัดได้ ซึ่งทำให้คนไข้ที่เข้ารับการผ่าตัดมีความพึงพอใจมากฟื้นตัวได้เร็วภายใน 1-2 วัน ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการพักฟื้น และสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติเร็วขึ้นกว่าเดิม
ด้านอาการหรือโรคต่างๆ ที่จำเป็นต้องผ่าตัดมดลูกนั้น มีหลายกรณี ได้แก่ โรคที่เกิดจากมดลูก เช่น เนื้องอกในมดลูก, เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรือมีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรังอย่างรุนแรง โรคที่เกิดจากถุงน้ำรังไข่ เช่น ช็อคโกแลตซีสต์ ในกรณีที่คนไข้ต้องการเก็บมดลูกไว้ ทางแพทย์ก็จะผ่าตัดเอาแค่ปีกมดลูกออกไปเท่านั้น
แม้ว่า “การส่องกล้องผ่าตัดมดลูกแบบแผลเดียว” นั้น จะเป็นอีกทางเลือกที่ดีทางหนึ่งสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด แต่หากอาการหรือโรคของคนไข้อยู่ในข้อจำกัดบางประการ หรือตามดุลยพินิจของแพทย์นั้นไม่เห็นสมควรสำหรับการผ่าตัดด้วยวิธีนี้ เช่น ขนาดของมดลูกมีขนาดใหญ่มาก กว่า 2 ใน 3 ของอุ้งเชิงกรานหรือมีผังผืดเยอะมากในอุ้งเชิงกราน ก็จำเป็นที่จะต้องเลือกใช้วิธีการผ่าตัดแบบอื่นๆ ที่เหมาะสมแทน เช่น การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง หรือการส่องกล้องผ่าตัดแบบสามแผล หรือ สี่แผล ดังนั้น “การส่องกล้องผ่าตัดมดลูกแบบซ่อนแผล” นั้น ทางแพทย์ผู้ดูแลจะวินิจฉัยเป็นกรณีรายคนไป
การดูแลตนเองหลังผ่าตัด นั้นคนไข้ไม่ควรยกของที่มีน้ำหนักมากจนเกินไป รวมทั้งงดการมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1 เดือน นอกนั้นสามารถรับประทานอาหารและใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ สำหรับผู้หญิงนั้น ไม่จำเป็นว่าต้องอายุ 30 ปี ขึ้นไปถึงจะเริ่มเข้ามารับการตรวจ แต่หากเริ่มมีเพศสัมพันธ์แล้วต่างหากที่เป็นสัญญาณที่แท้จริงว่า ควรเริ่มใส่ใจกับตนเองและเข้ามารับการตรวจภายในได้แล้ว เพราะเท่ากับว่าเราอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆ ทางนรีเวชได้ เช่น โรคมะเร็งปากมดลูก หากตรวจภายในแล้วพบข้อบ่งชี้ที่น่าสงสัย แพทย์จะแนะให้ทำอัลตร้าซาวด์เพิ่มเติม ซึ่งเพียงแค่ 2 ขั้นตอนนี้ก็สามารถบอกความผิดปกติต่างๆ ของร่างกายได้มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว ที่สำคัญควรหมั่นมาตรวจภายในทุกปี และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารต่างๆ ที่อาจใส่สารเร่งฮอร์โมน ซึ่งอาจไปกระตุ้นการทำงานของระบบภายในจนทำให้เกิดความผิดปกติได้